Issue 2025 Q3


การวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์การผลิต Production Economy

จุดคุ้มค่าไม่ใช่แค่ — “ตัดได้เร็วที่สุด(MRR, Productivity)” แต่ต้องพิจารณา CPP คือ ต้นทุนรวม + ความเสี่ยง เพื่อหาจุดที่ Productivity สูงสุด และ Cost per Part (CPP) ต่ำสุด.

Highlight
เรามักมุ่งเน้นที่การเพิ่ม Productivity เพื่อให้ได้ผลลัพธ์คือ CPP ที่ลดลงแต่ทั้งสองสิ่่งนี้คือ
"แนวคิด เศรษฐศาสตร์การผลิต"
( Production Economy )

หัวใจหลักแนวคิดเศรษฐศาสตร์การผลิตของการตัดเฉือนสมัยใหม่

หลักการ Productivityเป็นที่ยอมรับและเป็นมาตรฐานสากล
1. สูตรหลักที่ยอมรับคือ Cost per Part (CPP), MRR, และ OEE.
2. เครื่องมือชี้วัด Productivity มีในรูปแบบ การคืนทุน(มูลค่า) (CPP, ROI) และ เชิงประสิทธิภาพเครื่องมือที่ใช้ปฏิบัติการ (OEE, MRR, Throughput)
"*ในการวิเคราะห์ของเรา จะมุ่งเน้น ไปที่ MRR และ CPP ซึ่งได้ทั้งประสิทธิภาพและการคืนทุน เป็นหลัก หรือ กรณีอื่นขึ้นกับประเภท ของการผลิตก็สามารถทำได้เช่นกัน *

สูตรการคำนวณตัวแปรมาตรฐานในการทำ Productivity**
สามารถใช้ได้ทุกเครื่องมือในการทำโครงการ
• Productivity พื้นฐาน
Productivity Formula
• Partial (ส่วนเดียว) เช่นแรงงานหรือพลังงาน
Productivity Formula
• OEE (ถ้าประยุกต์กับเครื่องจักร)
Productivity Formula

— ประสิทธิภาพรวมของเครื่องจักรที่ มักรวมเป็นตัววัดสำหรับการปรับปรุงสมรรถนะ

• อัตราการตัดเนื้อวัสดุ (Material Removal Rate, MRR) Productivity Formula

— MRR=Vc x Fn x Ap

• ต้นทุนต่อชิ้น (Cost per part) การคำนวณทั่วไป Productivity Formula

— • รวมต้นทุนวัสดุ แรงงาน เวลาเครื่องจักร ค่าเครื่องมือ และพลังงาน

• ต้นทุนต่อชิ้น (Cost per part) + ค่าตัวความเสี่ยง ERC ต่อความเสียหาย

— : Cmachine = ค่าเครื่องจักร/ชั่วโมง
Tc = เวลาในการตัดต่อชิ้น
Ctool = ราคาเครื่องมือตัด
𝑇𝑙𝑖𝑓𝑒 = Tool life
ERC= P x I ..click..
𝑁𝑝= จำนวนชิ้น

drawn your costdown desired
Productivity สูง + CPP ต่ำ + ควบคุมความเสี่ยงของกระบวนการ (Process Stability) ..click..
"หา Productivity ก่อน Cost Per Part(CPP) เพื่อประเมินความน่าจะเป็น"

ทำไมต้องวางแผน Productivity ก่อน?
1. เครื่องจักร CNC มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงสูง --> ถ้าทดลองจริงโดยไม่วางแผน จะเสียต้นทุนเครื่องจักรและแรงงานทันที
2. เครื่องมือตัดมีราคาไม่ใช่ถูก --> โดยเฉพาะ PcBN, Ceramic, PCD ถ้าใช้ผิดจะหมดไปโดยไม่เกิดคุณค่า
3. ของเสีย (Scrap) = ต้นทุนมหาศาล --> ชิ้นงานบางอุตสาหกรรม (Aerospace, Medical) ต้นทุนชิ้นละหลายหมื่น ถ้าล้มเหลว 1 ครั้ง = ขาดทุนทันที
4. Productivity ที่ไม่ได้วางแผน มักได้ ความเร็วสูงสุด แต่ต้นทุนไม่ต่ำสุด
Tips :: ดังนั้น Productivity Planning คือการหาสมดุลก่อนเริ่มจริง ---------------------------------------------------------------------
ในสายการผลิตจริง วิธีทำแบบมาตรฐานที่นิยมใช้กัน ได้แก่ :
1. Simulation การทำโปรแกรม CNC (option or program)จำลองเดินเครื่อง
• จำลอง cutting data และ tool path ล่วงหน้า --> ลด trial & error
• ตรวจสอบ collision, optimize feed/speed
2. Productivity Calculation จากข้อมูลปัจจุบันก่อนประเมินทดสอบ
• ใช้สูตร CPP, MRR, Tool Life (Taylor’s Equation) --> คำนวณจุดคุ้มค่า
• หาจุดที่ Cost per Part ต่ำสุด ไม่ใช่แค่ Machining time ต่ำสุด
3. Pilot Run (ทดสอบจริง เก็บตัวอย่างเช็ค Cp ,Cpk)
• ทำการทดสอบกับชิ้นงานจำนวนน้อยเพื่อยืนยันผล
• บันทึกค่า Tool wear, Surface finish, Cycle time
4. Full Implementation
• หลังได้ข้อมูลจริง + Simulation --> เริ่มใช้งานจริงใน production line

ผลลัพธ์: Production Economy --> Productivity --> CPP ต้องเริ่มจากการ วางแผน Productivity ก่อนลงมือจริง เพราะจะช่วยให้ได้ “จุดคุ้มค่า” ที่ดีที่สุด ลดความเสี่ยงและของเสีย และพิสูจน์ได้ด้วยตัวเลข CPP ว่าการลงทุน“คุ้มค่า” ก่อนทดสอบจริง

ส่วนหนึ่งของเครื่องมือ ที่นำเสนอการทำโครงการ Productivity ของเรา

productivity tool
คาร์ไบด์ รวมฟังก์ชันทำงาน
• สว่าน-รีมเมอร์ / เอ็นมิลล์ -ลบคม / ใบตัดโปรไฟล์ /
productivity tool
กลุ่ม ซีบีเอ็น-เซรามิค อินเสิร์ท
• ScBN/ PcBN/Ceramic/Cermet/
productivity tool
กลุ่มคาร์ไบด์ ระบบจับยึดเครื่องมือ
• ด้ามคาร์ไบด์ / สว่าน/ เอ็นมิล/ ด้ามมีดกลึง/
productivity tool

ไดมอนด์ ทูลส์ (PCD)
• ไดมอนด์ ทูลส์ / insert / Drill / Saw / Endmill / Reamer / Step boring

Productivity, Cost per Part (CPP) และ ROI (Return on Investment) เป็น 3 เรื่องที่เชื่อมโยงกันโดยตรง

1. Productivity (ผลผลิตต่อเวลา)
- คือการใช้เครื่องจักร + เครื่องมือให้สร้างชิ้นงานได้มากขึ้นในเวลาที่สั้นลง
- Productivity สูงขึ้น = ใช้เครื่องจักร/แรงงานอย่างคุ้มค่า
2. CPP (Cost per Part)
- คือ ต้นทุนการผลิตต่อ 1 ชิ้นงาน (รวมทั้งต้นทุนเครื่องมือ ต้นทุนเครื่องจักร ต้นทุนแรงงาน และต้นทุนของเสีย) - Productivity ที่ดี จะทำให้ CPP ลดลง
3. ROI (ผลตอบแทนการลงทุน) - คือการวัดว่าการลงทุน เช่น เครื่องมือใหม่, เทคโนโลยีใหม่, หรือกระบวนการใหม่ คุ้มทุนหรือไม่ - สูตร ROI ทั่วไป:

ตัวอย่างโมเดล ::

กรณีถ้า Productivity สูง + CPP ต่ำ + ROI สูง
- ถ้า Productivity ดีขึ้น (เช่น ใช้ PcBN ตัดงานแข็ง ลด cycle time จาก 10 นาที --> 5 นาที) --> ต้นทุนต่อชิ้น (CPP) จะต่ำลง
--> ผลประโยชน์ต่อการลงทุนจะสูงขึ้น
--> ROI จะออกมาคุ้มค่า
แต่ถ้า Productivity แค่เร็วขึ้น แต่ CPP ไม่ลดลงจริง (เพราะเครื่องมือแพงหรืออายุสั้นเกินไป) --> ROI จะต่ำ --> ไม่คุ้มลงทุน


สรุปเงื่อนไข ความสัมพันธ์ / Productivity / CPP / ROI /
-Productivity และ CPP เป็น ตัวชี้วัดทางเทคนิค
-ROI เป็น ตัวชี้วัดทางการเงิน
- ทั้งสามต้องวิเคราะห์ ร่วมกัน เพื่อโน้มน้าวผู้บริหารหรือนักลงทุน
- กุญแจคือ --> อย่าโฟกัสที่ “ความเร็ว” อย่างเดียว แต่ต้องดูว่า CPP ลดลงจริงไหม เพื่อพิสูจน์ ROI

แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง Productivity – CPP – ROI
- เมื่อ Productivity เพิ่มขึ้น --> Cost per Part (CPP) จะลดลง (เส้นสีแดง)
- และทำให้ ROI สูงขึ้น (เส้นสีน้ำเงิน)
** ใช้ภาพนี้นำเสนอได้ชัดเจนว่า การเพิ่ม Productivity ไม่ใช่แค่ความเร็ว แต่คือการลดต้นทุนต่อชิ้น --> ROI ที่คุ้มค่ากว่า


เมื่อความเสี่ยงมีมูลค่า ค่าความเสี่ยง(Risk Value)จึงนำมาใช้
1. กำหนดประเภทความเสี่ยง --> Tool breakage, Surface reject, Scrap, Downtime
2. ประเมินโอกาสเกิด (P) เช่น 2%, 5%, 10%
3. ประเมินผลกระทบ (I) เช่น Scrap ชิ้นละ 3,000 บาท, Machine downtime 5,000 บาท/ชม.
4. คำนวณค่าเฉลี่ยความเสี่ยง (Expected Risk Cost)

ERC=P x I ; (P=Probability,I=Impact)


เช่น มีโอกาส 5% ที่ insert จะหัก เสียชิ้นงาน 2,000 บาท -->ERC=0.05×2000=100บาท/ชิ้น
tips:1: ปรับ Cutting Data --> บางครั้งลด Vc เล็กน้อย อาจทำให้ risk จาก 10% --> 2% --> รวมแล้ว CPP ต่ำกว่า
Tips:2: เพราะ “การเร่ง Productivity” ไม่ได้ดูแค่ ความเร็วและต้นทุน แต่ยังต้องคำนึงถึง ความเสี่ยง premature wear จึงต้องนำ ERC ไปใช้กรณี ที่สำคัญและมีมูลค่าสูง"

::เรียบเรียงโดย ฝ่ายพัฒนาเครื่องมือ บริษัท สยาม เอสเอ็มที จำกัด

ใช้ Cost per Part เป็นเกณฑ์ตัดสิน
ว่าจะใช้ Cutting data / เครื่องมือแบบไหน ถึงให้ “ความเร็ว + ความคุ้มค่า + ความเสถียร” ที่เหมาะสมที่สุด •